เป็นรถยนต์ที่พระองค์ท่านใช้ในการทรงงาน และเป็นอีกหนึ่งคันที่สำคัญ คือรถยนต์ Jeep Wagoneer ปี 1983 เป็นรถพระที่นั่งแบบ off Road มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.9 ลิตร แบบ 2 คาร์บูเรเตอร์
(2 Barrel Carburetor) ให้กำลัง 141 แรงม้า และทำแรงบิด 309 นิวตันเมตร ทะเบียน 1ด-0999 ซึ่งจัดอยู่ในหมวดที่น้อมเกล้าฯ ถวายสำหรับใช้กับรถยนต์พระราชพาหนะ ที่จัดซื้อโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ หรือ ที่พสกนิกรน้อมเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงใช้ในพระราชกรณียกิจต่างเพื่อการทรงงานของพระองค์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้ขับรถไปในพื้นที่ทุรกันดาร ทั้งการขึ้นเขาลงห้วย แถมยังเป็นรถพระที่นั่งที่ทรงโปรดปรานมาก เพราะความสมบุกสมบัน และความอึดทรหดของตัวรถ พระราชกรณียกิจของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับรถยนต์ Jeep Wagoneer Brougham นั้นมีมากมาย โดยเรื่องเล่าหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับรถยนต์ Jeep Wagoneer คันนี้ เกิดขึ้นในพระราชกรณียกิจ ช่วงปี พ.ศ. 2535 ว่า….
ในคืนวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง Jeep Wagoneer ด้วยพระองค์เองไปยังลำพะยัง บ้านกุดตอแก่น ในเขตพื้นที่จังหวัดกาฬสินธ์ ทางไม่ได้เรียบเหมือนถนนหลวง เป็นทางเกวียนลัดชายป่าละเมาะ ท่านใช้ความสามารถอย่างมากในการจะไปให้ถึงจุดหมาย เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงก็พระราชดำเนินต่อเข้าไปในความมืดตามทุ่งนา มีเพียงไฟฉายของมัคคุเทศน์ส่องนำทาง จนกระทั่งพระองค์และคณะองคมนตรี รวมถึงอธิบดีกรมชลประทาน มาสุดทางซึ่งเป็นรั้วลวดหนามกั้นสระบัวของชาวบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะต้องตัดลวดหนามนั้นออกไป แต่พระองค์ทรงให้แค่เพียงถ่างลวดหนามไว้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินมุดรั้วลวดหนามเข้าไป ท้ายที่สุดแล้วการเสด็จพระราชดำเนินดังกล่าว แล้วเกิดมาเป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะยังตอนบน โดยในปีพ.ศ. 2539 ทางกรมชลประทานได้สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดความจุ 3.5 ล้านลูกบาทเมตร พร้อมอาคารประกอบแล้วเสร็จสามารถช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกได้ 2,500 ไร่
ปัจจุบัน รถยนต์พระที่นั่ง Jeep Wagoneer ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในห้องกระจก ที่อาคารกลางน้ำ รัชมงคล สวนหลวงร.9